McKiEz

The Space Lonelyssey

ช่วงนี้ มีข่าวหรือภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับพระเยอะ ทั้งเณรคำเอย ทั้งพระขายกลูต้าเอย แต่มันไม่ค่อยส่งผลอะไรกับความเชื่อผมอยู่เลย เพราะผมไม่ศรัทธาอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า นับวันทำไมอะไรเสื่อมๆแบบนี้ค่อยๆเยอะขึ้นๆเรื่อยๆ

—@—

ตรงข้ามบ้านผม ประกอบด้วย หญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง ลูกสาวหนึ่ง ประกบอธุรกิจส่วนตัวประเภทหนึ่ง

เล่าแบบคร่าวๆเลย ผู้ชายแกขี้เมา แต่ตอนไม่เมานี่เป็นคนดีขยันทำมาหากินนะ แต่ทำไมถึงชอบกินเหล้าก็ไม่รู้ แล้วพอเมาก็เหมือนหมาเลย ไม่เอาการเอางาน

ประเด็นของเรื่องคือ

เมื่อคืนก่อน ชายหญิงคู่นี้ทะเลาะกันเพราะเรื่องเมาเหล้าเนี่ยแหละ และผู้หญิงก็ไล่ผู้ชายออกจากบ้านไป ผู้ชายก็ประชดชีวิตด้วยกัน … “บวช!” ใช่ บวชเลยจ้า บวชทั้งๆที่ยังไม่สร่างเมาด้วยจ้า คือมันวิปริตตั้งแต่ความคิด ลงไปถึงพิธีกรรมว่าพระรับบวชได้ยังไง เข้าไปอยู่ใต้ร่มพระธรรมแบบเมาๆด้วย อีกอย่างคือบวชตอนเข้าพรรษาด้วยนะ

แต่มันก็ยังไม่จบแค่นั้น

เพราะเมื่อวานนี้ ผู้ชายเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ ห่มจีวรเหลืองมาเลย มาตะโกนง้อเมียหน้าบ้านตอนประมาณ 4-5 ทุ่มจ้า คุณรู้สึกอะไรมั้ย พระ ตะโกนง้อเมีย 4-5 ทุ่ม เมียก็เฉยๆไม่ออกมารับหน้านะ พระก็ตะโกนไปซิ พูดหวานไปต่างๆนาๆ

ไม่ขอพูดออะไรละกัน เพราะก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่พุทธศาสนิกชน ไม่ขอออกความเห็นละกัน

วันนี้แมร่งแอบเพลีย

ทุกคนลองนึกภาพตามนะครับ ข้างบ้านของผมแกเป็นบ้านเดียว ซึ่งริมรั้วด้านนอกตัวบ้านเนี่ย จะเป็นที่สาธารณะ ซึ่งด้วยความที่ซอยเล็ก ทุกคนก็จะแบ่งกันจอดรถเบียดๆกัน แล้วที่ตรงที่เป็นปัญหาเนี่ย น้าผมเค้าจอดรถตรงนี้มาเป็นสิบปีแล้ว ทีนี้ ข้างบ้านเกิดอุตริอะไรก็ไม่รู้ เอาดอกไม้มาตั้งเต็มไปหมด หนึ่งในนั้นก็คือดอกมะลิ

ด้วยความป๊อบปูล่าของมะลิในที่สาธารณะ เลยโดนคนขโมยเด็ดไปเยอะมาก อีเจ้าของบ้านก็ฮึกเหิมและเริ่มคิดถึงสิทธิ์ของตัวเอง เอาป้ายมาปักจ้า ว่า “ห้ามเด็ดมะลิ” ด้วยความไม่เข้าใจของกูเองเนี่ยแหละ ผ่านหลายๆครั้งเข้าก็เลยสงสัย ไปปริ้นป้ายมาปักข้างๆถามเอาความง่ายๆว่า “ไม่อยากให้เด็ดทำไมไม่เอาไปตั้งในบ้าน”

สาบานเลยว่าแค่ปักป้าย ยังไม่ได้เด็ด ใครไม่รู้ว่าเด็ด วันนี้คนข้างบ้านออกมาโวยวายด่าแม่ผมว่าทำไมทำแบบนี้

เอาเป็นว่า เราอย่าไปสนใจผลลัพย์ละกัน ผมถามง่ายๆกับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนแหละ ว่าตกลงใครผิดวะ? กูสงสัยมากๆเลย

หัวค่ำของวันนี้ ผมโดนอะไรหลายๆรุมเร้าทั้งร่างกายและจิตใจให้ต้องนอนไวเป็นพิเศษ ผมจึงพลาดทุกอย่างทั้งข้าวเย็นและเพื่อนๆ กินยาแล้วบอกลาวันนั้นเสียทันที

ไม่ ใช่ทุกครั้งที่ผมจะจำความฝันได้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม ผมมีรู้สึกว่าเหมือนผมอยู่ที่นั่น ในฝันผมอยู่ที่ไหนซักแห่งกับพ่อ กำลังเดินไปกับพ่อเรื่อยๆ เราคุยกันสนุกมาก ในฝันผมจำไม่ได้ว่าเราคุยอะไรกันแต่มันสนุกมาก ผมหัวเราะ พ่อหัวเราะ เราเดินกันไป ต่อยแขนกัน และพ่อพาผมไปดูโรงแรมแห่งนึงที่คล้ายๆในหนังอินเซ็บชั่น ที่โรงแรมใหญ่โตแห่งนี่กำลังพับอยู่ แต่ชำรุดทรุดโทรมมาก พ่อบอกแค่ว่า “มันกำลังจะพัง”

แล้วความคิดนึงก็ผุดขึ้นมาในหัว เหมือนดอกไม้โดนเร่งให้โตในเวลาแป๊ปเดียว แล้วเรากำลังดูมันค่อยๆบานในเวลาแค่ 3 วินาที ผมพูดกับพ่ออย่างเรียบเฉย เหมือนเป็นเรื่องปรกติว่า “แม่จะเอาตัง 70” พ่อก็ไม่มีปฎิกิริยาอะไร และเราก็กลับไปโฟกัสไอติมกัน

ฉากตัดมาที่รถไฟรางเดี่ยว เราพ่อลูกวิ่งแข่งกันเข้ารถไฟ เราหัวเราะและหอบด้วยกัน จนรถไฟกำลังจะออกตัว สายตาผมทอดออกไปอีกฝั่งของรถไฟ ผมเห็นแม่ของผมนั่งอยู่ ผมไม่ได้ใช้สายตา แต่ผมใช้ใจ เพราะแม่ผมในตอนนั้นส่วนคอลงมาที่ห่อหุ้มด้วยชุดแดง ไม่เซ็กซี่ แต่ก็ไม่แก่ และบริเวณศีรษะถูกกลืนกลิ่นอยู่ในหมอก เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆตอนที่ผมหันไปมองแม่ แม่เหมือนรู้ว่าผมอยู่ตรงนั้น ทันทีที่ผมเห็นแม่ แม่ก็ชูนิ้วขึ้นมาเป็นสัญญาณเลขเจ็ดทันที ผมหันไปคุยกับพ่อว่าแม่อยู่ฝั่งนี้ พ่อให้เงินผมมาเจ็ดสิบบาท ก็ยิ้มและพยักหน้า รถไฟวิ่งชะลอๆหักศอกปั้บก็จอดลงทันที เหมือนเป็นบัญชาของผมโดยไม่รู้ตัว ประตูเปิด ผมออกวิ่งและเลี้ยวหักศอกเพื่อจะไปหาแม่ คำแรกที่ผมทักท้ายแม่คือ “มานั่งแก่อยู่ตรงนี้นิเอง” ก่อนจะส่งให้ยี่สิบ

บน รถไฟ ผมกับแม่ไม่ได้พูดอะไรกันมาก แม่เป็นฝ่ายถามและผมก็ตอบด้วยความที่อยากพยายามหาเรื่องคุยกับแม่ แม่ถามถึงทุกคน แต่ผมไม่รู้ว่าตอบอะไรไปมากมาย เหมือนเป็นฉากอธิบายความสัมพันธ์ของผมกับแม่มากกว่า ก่อนรถไฟจะจอดและผมก็เดินจูงมือแม่ไปด้วย เราทำอะไรกันหลายอย่าง นั่ง ดื่ม กิน ถามอะไรกันมากมาย จำได้อยู่คำถามเดียวว่า “แม่รู้สึกยังไง” แม่ระบายยิ้มขึ้นบนหน้าเรือนรางนั้นว่า “สนุกดี” เราวิ่งเข้าไปหลบฝนกันในที่ๆนึง เหมือนแม่จะรู้จักเจ้าของ ผมจึงเดินไปเดินมารอบร้าน และเข้าใจในเวลาต่อมาว่ามันคือโรงอาบน้ำ ผมกำลังมองสบู่รูปแมวอยู่ แม่หันมาถามว่าอยากได้หรอ ผมส่ายหัวทันทีด้วยอารมณ์บางอย่าง ทันทีที่เปิดประตูร้านออกมาเพื่อพบกับดวงอาทิตย์อีกครั้ง ผมรีบหันกลับไปหาแม่ แต่คนที่ยืนอยู่หลังผมคือชายร่างสูงผมยาวประบ่า ใส่แว่น เดินออกมาแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายของผม พร้อมหัวเราะใส่ผม ผมมองตามอยู่พักนึงแล้วจึงมาโฟกัสที่ประตูร้าน แม่อยู่ในกระจก กำลังเอาหน้าแนบกระจกร้านจากด้านนอกประตูที่ตอนนี้พับเพราะมีคนออกมา ก่อนประตูจะค่อยๆเลื่อนกลับปิดช้า ให้เห็นแม่กำลังก้มคุดคู้อยู่กับกระจกร้าน และหันมาหัวเราะ ผมหัวเราะทันที ไม่นานผมก็โดนความมืดคลุมโปงและตื่นขึ้นมากลางดึก

ใน ฝันผมจำหน้าแม่ไม่ได้ มันเรือนรางเสมอๆ แต่ใบหน้านั้นกลับเปื้อนด้วยรอยยิ้มที่ผมหวังว่าจะได้เห็นมันตลอดไป ไม่รู้ทำไม ผมคิดว่าในฝันผมอยู่ในประเทศจีน ผมไม่มีภูมิหลังอะไรกับประเทศจีนทั้งสิ้น ไม่เคยไป ไม่เคยคิดจะไป หรืออาจเป็นฮ่องกงก็ได้ เพราะเป็นที่ๆแม่อยากไปที่สุด ในห้วงความคิดนึง ผมรู้สึกว่ากำลังจะมีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้น จึงรีบเข้าไปในห้องแม่และจับตรงท้องของแม่ ซึ่งมันยังขึ้นลงสม่ำเสมอเหมือนเดิม ผมโล่งอก ไม่กี่วินาทีต่อมา ผมเลือกที่จะบันทึกมันไว้ ผมรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยความรู้สึกอะไรบ้างอย่างที่เกี่ยวกับแม่ และผมกลัวว่ามันจะหายไป ผมอยากเห็นแม่ยิ้ม แค่นั้นเอง ผมแค่ไม่รู้ว่าเราจะมีเวลาอีกเท่าไรเท่านั้นเอง พูดตรงๆว่าผมเกลียดรถไฟ มีความรู้สึกว่าการที่เราหรือใครบางคนต้องไปรถไฟ แปลว่าเราจะไปไหนนานๆ หรือจะไม่กลับมาอีก

สุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่ารถไฟพาผมกับแม่ไปไหนต่อมั้ย แต่ยังไงผมก็ยังอยากอยู่กับแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อวานนี่ ได้ดู Law&Order SVU ตอนนึง

 

เล่าคราวๆก็คือ

เด็กคนหนึ่งอายุ 17 แต่รูปร่างเหมือนอายุแค่ 12

ถูกลักพาตัวไป โดยระหว่างที่ยิ่งตามสืบก็ยิ่งแหม่งๆ

เพราะประวัติการท่องเว็บของเด็กมีแต่เรื่องทางเพศ

และแถมยังเข้าทดสอบยาที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศอีกต่างหาก

 

สุดท้าย ก็พบเด็กในสภาพเปลือยเหมือนเพิ่งโดนข่มขืน

และลูกน้องของพ่อเด็กผู้หญิงอายุ 30 กว่าก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัย

แต่มาพลิกตอนขึ้นศาลว่า

เด็กสมยอม โดยให้เหตุว่ารักกัน

พระเอกก็หาหลักฐานมาว่าผู้ชายเลยมีสัมพันธ์กับลูกสาวเจ้านายเก่า

แต่เด็กผู้หญิงก็ยืนยันว่าจะใช้ชีวิตกับผู้ชายให้ได้

โดยไม่สนพ่อกับแม่ตัวเองหรืออดีตของผู้ชายเลย ซึ่งอดีตผู้ชายก็ไม่มีอะไรร้ายแรงนะ

แล้วก็จบแบบแฮปปี้คือ เด็กผู้หญิงและผู้ชายก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างถูกต้อง

—@—

คนเราชอบเอาความคิดตัวเองไปตัดสินว่าอะไรเหมาะสม อะไรไม่เหมาะสม

 

ถ้าใช้ความเป็นคนไทยของกูคิด

กูก็คิดว่าแบบ เชี่ย เด็กแมร่งยังไม่น่าจะโตพอจะมีความรักได้นะ

จะโดนหลอกป่าววะ ผู้ชายคนนี่จะดีจริงๆหรอมึง

แต่พอเราเห็นในสิ่งที่ซีรี่ยแมร่งเสนอ

คือเค้าให้สิทธิ์เด็กเยอะมาก แบบเคารพในการตัดสินใจของเด็กมากอะ

ถึงกับมีทนายให้กับเด็กเพื่อต่อสู้คดีให้เด็กได้อยู่กับผู้ชายคนนั้นเลยนะ

 

เราคิดกันไปเองรึเปล่า ว่าเราโตกว่า เราต้องมีหน้าที่ตัดสินใจแทนเด็กหรือบังคับเด็ก

ให้อยู่กับร่องกับรอยที่เราขูดขีดไว้ เด็กแมร่งกลิ้งไปตามทางที่เราขีด

จะเจ็บ จะกระแทกแค่ไหนช่างมัน ขอให้ไปตามทางที่เราขีดไว้ก็พอ

 

ชอบที่ตอนจบ จบโดยทั้งคู่ก็ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง

แต่ไม่ได้เล่าว่าเป็นยังไง หรือจบแบบไหน

ถ้าดี ก็ถือว่าเด็กคนนี้โชคดีหรือตัดสินใจถูก

ถ้าไม่ดี ก็ถือว่าเด็กคนนี้ได้ประสบการณ์ชีวิตไป แล้วเค้าจะได้เข้มแข็งพอ

ที่จะได้เจอความรักครั้งใหม่ต่อไป

ทุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจกับชีวิตของตัวเองนะ ใครจะทำอะไรช่างหัวเค้าเถอะ

เราถามในสิ่งที่เราเป็นห่วงพอ แต่อย่าเข้าไปแทรกหรือตัดสินอะไรแทนคนอื่นนะ

 

แม็คคลี่ขอ

ระหว่างที่นั่งดูคลิปน้องหมาน่ารักตัวหนึ่ง ที่อ้อนเจ้าของได้น่าเอ็นดูมาก

ก็เกิดความรู้สึกอยากเลี้ยงหมาขึ้นมา อยากได้ชิบะ ไม่ก็ฮัสกี้มากๆ ♥

ถ้าได้มานี่คงหายเหงาแน่ๆเลย ยิ่งโดนอ้อนแบบนี้

—@—

หลายคนหาความรักกันตลกดี

บางคนหาแฟน เหมือนหาหมามาเลี้ยงอะ

ช่วงนี้เหงานะ ไม่มีใครนะ

ต้องอ้วนนะ ต้องผอมนะ หาคนจริงใจนะ

ต้องสูงเท่านี้นะ ต้องเป็นคนแบบนี้นะ ต้องมีเชื้อชาตินี้นะ

กำหนดตัวตนเค้าขนาดนี้ แล้วพออยู่ด้วยกันไม่เข้าใจกัน

ไม่เป็นอย่างที่วาดฝันไว้ ก็ทิ้งเค้าซะงั้น

แล้วก็บ่นต่อว่าเค้าว่าเค้าไม่ดี งู้นงี้

 

คนพวกนี้ทำให้คิดถึง Quote อันหนึ่ง

“คุณรู้มั้ยว่าความรักเหมือนอะไร

เหมือนเวลาที่สุนัขเลียหน้าคุณด้วยความดีใจ

แม้ว่าคุณจะทิ้งมันอยู่ในบ้านตามลำพังทั้งวันก็ตาม”

มันมีสถานการณ์ทางสังคมอยู่แบบหนึ่ง

ซึ่งกูไม่อาจทำความเข้าใจได้ซักที ไม่รู้มันมีมาก่อนหรือหลังกำเนิด Facebook ก็ไม่รู้

จะขอเล่าให้ฟังเลยละกัน จะได้เข้าใจง่ายๆ

คือมีนาย A นามสมมุติคุง อยู่คนหนึ่ง เป็นเพื่อนกับกูบน FB 

เราเจอกันเพราะมีความสนใจเรื่องหนึ่งเหมือนกัน แต่ความสนใจนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว

เราเลยไม่ได้แลกเปลี่ยนเรื่องนี้กันบ่อยๆเพราะมันดูไม่ดี

ทีนี้ ด้วยความที่เราไม่เคยเจอกัน เราก็จะคุยกันไม่กี่เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นกูที่ถามสารทุกข์สุขดิบ

นาย A นามสมมุติคุงก็เหมือนถามคำตอบคำ พอนานๆเข้า กูก็ขี้เกียจคุย เพราะเหนื่อย

นานๆไป

ความโรคจิตของกูก็จัดการลบเฟรนมันซะฉึบ

ในเวลาไม่นาน นาย A นามสมมุติคุง ก็ส่ง message มาบอกว่า รับแอดด้วย พร้อมรีเควสมา

กูก็รับไปเพราะเห็นว่าเคยคุยกันบ้าง แล้วเราก็เริ่มบทสนทนาแบบเดิม

แล้วกูก็เหนื่อยเดิม ก็ลบอีก แล้วเค้าก็ส่งรีเควสมาอีก

—@—

คือกูอยากรู้ว่ามันคือมารยาททางสังคม หรือกฎเกณฑ์ทางสังคมอะไรรึเปล่า

ที่คนที่ไม่ได้มีความสนิทกันจะต้องเป็น friend กันบน FB

คือออกตัวก่อนว่า ไม่ได้เป็นแบบนี้กับทุกคนนะ แค่คนที่รู้สึกไม่คุ้นชินเฉยๆ

กับบางคนกูไม่ได้คุยเลย แต่รู้สึกเป็นห่วงตลอดก็มี แต่กับคนแบบนี้ไม่ใช่

แล้วทำไมเค้าต้องขอแอดกูเก็บไว้ด้วยฟ่ะ ไม่เข้าใจ อารมณ์เหมือนเพื่อนบ้านแบบนี้หรอ

อยากให้นักวิจัยหรือนักจิตวิทยามาสำรวจมากๆเลย

หวังว่าวันหนึ่งกูจะเข้าใจนะ

เด็กน้อยฝันถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

เด็กผู้หญิงยืนอยู่ตรงหน้าและถามถึงความรู้สึกของเค้า

เด็กน้อยเอื้อมมือไปคว้าทุกอย่างเอาไว้

กว่าเค้าจะรู้ตัวอีกทีรูปถ่ายในกำมือก็ยับหมดแล้ว

เด็กน้อยกางร่มอยู่ในห้องสีเทา

ลืมตัดเล็บ

ถ้ามานั่งคิดดีๆ อารมณ์ของคนเราแมร่งก็เปรียบได้ดั่งเล็บบนนิ้วมือเราเนี่ยแหละ

วันไหนอารมณ์ไม่ดี ก็เหมือนเล็บที่ยาวเพราะลืมตัด

และถ้าเปรียบปัญหาคือการแคะขี้มูก ถึงจะได้ขี้มูกทั้งหมดออกมาแต่ก็เสี่ยงที่จะขวนรูจมูก

ขวนตัวเองมั่ง ขวนคนอื่นมั่ง

วันไหนอารมณ์เบิกบานก็เหมือนเล็บที่เพิ่งตัด

แคะขี้มูกออกบ้าง ไม่ออกบ้าง

เกาแล้วมันส์เพราะไม่ค่อยเจ็บ เกาให้คนอื่นก็ได้

วันไหนอารมณ์เศร้า ก็เหมือนเล็บกุดเพราะตัดเกิน

แคะขี้มูกไม่ได้ น่าเศร้า

เกาก็ไม่หายคัน น่าเศร้า

เกาให้คนอื่นไม่ได้อีก น่าเศร้า

วันไหนอารมณ์มุ่งมั่น ก็เหมือนเล็บยาวกำลังพอดี

แคะขี้มูกว่องไว เกาก็หายคัน แถมเกาให้คนอื่นได้ด้วย

อาจจะมีขวนคนอื่นบ้าง แต่คงไม่เจ็บเท่าไร ถ้าเป็นเพื่อนคงพอให้อภัยกันได้

ตัดเล็บกันเถอะ

บล็อคนี้ไม่มีสาระอะไรหรอก กูแค่ขวนตัวเองอีกแล้วน่ะ

นี่หรือเมืองพุทธ

วันนี้ เพิ่งได้รู้ความลับจักรวาลเรื่องหนึ่ง

คือวันนี้พี่สาวเป็นคนตากผ้า แล้วหนีบไม่ดีรึยังไงไม่รู้

ยกทรงก็จรลีลงไปอยู่หลังบ้านข้างๆ เลยต้องไปขอความช่วยเหลือเค้า

พอบอกเค้าว่าทำเกงในหล่นเท่านั้นแหละ

เค้าช็อคจ้า!

ช็อคแบบ ช็อคจริงๆอะ

แล้วให้กูเข้าไปเก็บเอง เค้าก็เกริ่นออกมาว่า

“ลำบากแย่เลยเนอะ ยังต้องใช้ของสกปรกแบบนั้น”

กูก็งง ซักพักได้คุยสอบถามกันก็เข้าใจ

ว่าคนข้างบ้านเค้าไม่ใส่กางเกงในกัน ทั้งบ้าน!

คือ ไม่ใส่เลยอะ ยกทรง เกงใน ชายหญิง

ก็แปลกดีชีวีกู

โอกาสครั้งที่สอง

วันนี้ บนโต๊ะอาหาร

เรายกประเด็นเรื่องคุกมาคุยกันได้ยังไงก็ไม่รู้

ป้า A ก็ตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงต้องเอาเงินของรัฐ

มาเลี้ยงคนพวกนี้ด้วย ไอ้เราก็ defend ไปว่า

เฮ้ย เค้าเข้าคุกเพราะอาจไม่มีงานทำ

เค้าเข้าไปเพื่อเรียนรู้อาชีพ หรือกิจกรรมอะไรใหม่ๆ

ปรับตัวเป็นคนดี หรือมีการมีอาชีพออกมาประกอบ

จะได้ไม่กลับไปทำไม่ดีติดคุกอีก

แต่ป้า B ก็พูดว่า คนพวกนี้มีทางเลือกที่จะไม่ติดคุก

คนพวกนี้เลือกจะทำชั่วเอง ติดคุกก็สมควรแล้ว เหตุผลที่ว่าไม่มีงานทำ

มัน bullshit มาก

ผมเกิดมาบนโลกนี้ และได้รับรู้มาตลอด 15 ปีว่า

อาของผมเนี่ย ติดคุกเพราะโดนจ้างให้ขนยาเสพติดโดยไม่รู้ตัว

ทำให้ติดคุก 40 ปี ตอนนั้นอาแกก็อายุเกือบสี่สิบแล้ว

อาผมทำอาชีพขับรถรับจ้างทุกอย่าง เพราะไม่มีอาชีพคับ

ไม่มี skill หรือ talent อะไร เลยทำได้แค่งานใช้แรงงานธรรมดาๆ

อาผมเป็นคนดีคับ เค้าเป็นคนเลี้ยงผมตอนพ่อกับแม่ทำงาน

แถมเค้าเป็นส่วนสำคัญ ให้พ่อกับแม่ผมสามารถผ่านชีวิตช่วงนึงไปได้

ผมแน่ใจคับ ว่าอาผมเป็นคนดี แต่ด้วยเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ ทำให้อาผมเป็นยังงี้

และเพราะไม่ค่อยเข้าใจในการตัดสิน เลยไม่รู้ว่าทำไมถึงติดคุกขนาดนี้

เพราะมันไม่น่าใช่ความผิดของอาผม แต่ก็นะ

ผมเข้าใจเอาเองว่า อาผมติดคุกแต่ไม่ได้ทำอะไรผิด

แกเข้าไปอยู่ในนั้น ผมก็ไปเยี่ยมตลอด 15 ปี แกก็อวดว่าทำโน่นทำนี่ได้

เล่นดนตรี ตัดผม อะไรแบบนี้ ชีวิตเค้าก็ดำเนินไปเพื่อรอวันพ้นโทษ

จนเค้าได้ลดโทษจนเหลือไม่กี่ปี วันหนึ่งเค้าก็โทรมาบอกว่า อาเสียแล้ว

ในเรือนจำ ชันสูตรแล้วเค้าก็บอกว่าโดนวางยาพิษ

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แย่เหมือนกัน เพราะคิดว่า อากูไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้

กูแค่มองว่า บางทีการเข้าคุกมันเป็นการชดใช้อะไรบางอย่าง

และได้แก้ตัวใหม่ เพื่อจะออกไปใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขต่อไป

ทุกคนก็คงมีโอกาสทำผิดพลาดซักครั้งในชีวิต

แล้วเราจะตัดสินพวกเค้าได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรอ ว่าเค้าแมร่งเลว

ว่าเค้าไม่ควรมีความสุขอีกต่อไป ไม่ควรมีโอกาสครั้งที่สองที่จะมีชีวิตต่อไป

กูเชื่อว่าอากูเป็นคนดี และคำพูดของคนอื่นคงทำให้สิ่งที่อากูทำ

มันหมดความหมายได้ กูก็จะรักอากูต่อไปนะ